เปรียบเทียบแชล็ค แล็กเกอร์ และวานิช – แบบไหนเหมาะกับงานคุณที่สุด?




เมื่อพูดถึงการเคลือบผิวไม้ในการทำ DIY หรือเฟอร์นิเจอร์ หลายคนมักสับสนว่าจะใช้ แชล็ค, แล็กเกอร์ หรือ วานิช ดี เพราะแต่ละชนิดก็มีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบชัด ๆ ให้คุณเลือกใช้งานได้อย่างมือโปร!


1. แชล็ค (Shellac) 

คืออะไร? 

แชล็คเป็นสารเคลือบไม้ที่ได้จากธรรมชาติ (แมลงแลคจากอินเดีย) ผสมกับแอลกอฮอล์ นิยมใช้ในการเคลือบไม้มาแต่โบราณ 

ข้อดี: 

- ให้ความเงาสวยแบบคลาสสิก 

- แห้งเร็ว 

- ใช้ซ่อมแซมรอยได้ง่าย 

- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

ข้อจำกัด: 

- ไม่ทนความชื้นและความร้อน 

- ไม่เหมาะกับงานภายนอกอาคาร 

เหมาะกับ: 

งานไม้ตกแต่งภายใน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้โชว์ งาน DIY ที่ต้องการความคลาสสิกและเนียนเรียบ


2. แล็กเกอร์ (Lacquer) 

คืออะไร? 

แล็กเกอร์เป็นสารเคลือบผิวที่มีส่วนผสมของเรซินหรือไนโตรเซลลูโลส ให้ความเงางามและแห้งเร็ว ใช้พ่นหรือทาด้วยแปรง 

ข้อดี: 

- แห้งเร็วมาก 

- ให้ผิวมันเงาสูง 

- เคลือบแล้วเรียบลื่น 

ข้อจำกัด: 

- มีกลิ่นแรง และไวไฟ 

- ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันเวลาทำงาน 

- มีโอกาสเหลืองเมื่อเวลาผ่านไป 

เหมาะกับ: 

เฟอร์นิเจอร์โมเดิร์น พ่นงานไม้แบบเรียบมัน หรือโปรเจกต์ DIY ที่ต้องการลุคหรูหรา


3. วานิช (Varnish) 

คืออะไร? 

วานิชคือสารเคลือบไม้ที่ทำจากเรซินผสมกับน้ำมันและตัวทำละลาย ให้ฟิล์มแข็งแรงและทนทาน เหมาะกับงานที่ต้องเจอสภาพอากาศ 

ข้อดี: 

- ทนแดด ทนฝน 

- ป้องกันรอยขีดข่วน 

- อายุการใช้งานยาวนาน 

ข้อจำกัด: 

- แห้งช้า 

- สีอาจเข้มขึ้นเล็กน้อยหลังแห้ง 

เหมาะกับ: 

งานไม้ภายนอกอาคาร เช่น ประตู หน้าต่าง รั้วไม้ หรืองาน DIY กลางแจ้ง


สรุป: เลือกแบบไหนถึงจะเหมาะ?

- แชล็ค: เหมาะกับงาน DIY ภายในบ้านที่ต้องการลุควินเทจ คลาสสิก 

- แล็กเกอร์: ใช้สำหรับงานที่ต้องการผิวเงาเรียบแบบเฟอร์นิเจอร์โมเดิร์น

- วานิช: เหมาะกับงานกลางแจ้ง ต้องการความทนทานต่อแดดฝน 

แนะนำเพิ่มเติม: 

หากคุณเป็นช่างรับเหมาทำเฟอร์นิเจอร์หรือทำ DIY เป็นประจำ การเข้าใจความแตกต่างของสารเคลือบเหล่านี้จะช่วยให้งานของคุณดูดีและทนทานมากยิ่งขึ้น และถ้าคุณต้องการคำปรึกษาเรื่องการแชล็คไม้แบบมืออาชีพ เราพร้อมให้บริการ!

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น